บทที่1เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
โครงสร้างเศรษฐกิจไทย
1. โครงสร้างเศรษฐกิจไทยก่อนใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ก่อนที่ประเทศไทยจะประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-2509)โครงสร้างเศรษฐกิจของไทยมีสภาพดังนี้
1.1 เศรษฐกิจแบบยังชีพเศรษฐกิจไทยสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบยังชีพ โดยผลิตอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ พอกินพอใช้ภายในครอบครัวและหมู่บ้าน เมื่อเหลือจากการบริโภคจึงนำไปค้าขายแลกเปลี่ยนยังหัวเมืองและประเทศใกล้เคียง
1.2 เศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเศรษฐกิจแบบการค้าและใช้เงินตรา เกิดขึ้นภายหลังประเทศไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398 สมัยรัชกาลที่ 4 และกับชาติตะวันตกอื่น ๆ ในเวลาไล่เลียกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย ดังนี้
(1)มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวางมีเรือสินค้าต่างชาติเดินทางเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ เพิ่มจำนวนมากขึ้นหลายเท่าตัว
(2)ยกเลิกระบบการค้าผูกขาดและเปลี่ยนมาเป็นระบบการค้าเสรีการผูกขาดการค้าของหน่วยราชการที่เรียกว่า “พระคลังสินค้า” ต้องยุติลง พ่อค้าชาวอังกฤษและชาติตะวันตกอื่น ๆ สามารถซื้อขายสินค้ากับพ่อค้าไทยได้โดยตรง เป็นผลให้ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับชาติตะวันตกขยายตัวกว้างขวาง
(3)ระบบการผลิตแบบยังชีพ เปลี่ยนมาเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้าข้าวกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญของไทย ชาวนาขยายการผลิตเพิ่มมากขึ้นเพื่อสนองความต้องการของตลาดโลก
(4) ความต้องการใช้แรงงานทำงานในไร่นามีมากขึ้น ทำให้ราชการต้องลดหย่อนการเกณฑ์แรงงานไพร่โดยให้จ่ายเป็นเงินค่าราชการแทน เพื่อให้ราษฎรมีเวลาทำงานในไร่นามากขึ้น ส่วนงานก่อสร้างของทางราชการ เช่น ขุดคลอง สร้างถนนฯลฯใช้วิธีจ้างแรงงานชาวจีนแทน
(5) เกิดระบบเศรษฐกิจแบบใช้เงินตรามีการจัดตั้งโรงงานกษาปณ์ในปี พ.ศ. 2403เพื่อใช้เครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์ แบบประเทศตะวันตก และยกโลกเงินพดด้วงแบบเดิมซึ่งปลอมแปลงได้ง่าย ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าทำได้สะดวกคล่องตัวยิ่งขึ้น
1.3 เศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยรัฐเกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2475-2504 ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกยังคงดำรงอยู่ตลอดรัชกาลซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศไทย เพราะทำให้การส่งออกสินค้าไทยในตลาดโลกลดต่ำลง อันเนื่องมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าเพียงไม่กี่ชนิด เช่น ขายไม้สัก และดีบุก ชาวนาและผู้คนส่วนใหญ่ในชนบทจึงยากจน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) เกิดภาวะเงินเฟ้อ ขาดแคลนสินค้าและข้าวของมีราคาแพง รัฐส่งเสริมการขยายตัวการผลิตภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยรัฐเข้าดำเนินการผลิตโดยตรง เช่น โรงงานทอผ้า ยาสูบ ทำกระดาษ และโรงงานสุรา เป็นต้น จึงเรียกว่าเป็นยุคเศรษฐกิจแบบชาตินิยม หรือเศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยรัฐ
2. โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในยุคที่ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2.1 ความเป็นมาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สหรัฐอเมริกาเป็นชาติผู้นำของโลกทุนนิยมได้สนับสนุนให้ไทยพัฒนาความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศตามแนวทางทุนนิยมโดยผ่านธนาคารโลก ซึ่งชี้นำให้ประเทศไทยจัดตั้งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเน้นให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการพัฒนามากขึ้น
2.2 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยประเทศไทยเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-2509)จนกระทั้งในปัจจุบันใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ผลจากการใช้แผนพัฒนาดังกล่าวมาเป็นเวลา 50 ปี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย ดังนี้
(1) ผลผลิตภาคการเกษตรลดปริมาณลงแต่มีการกระจายหรือเพิ่มชนิดขึ้น แต่เดิมมีเพียงข้าว ไม้สัก และยางพารา ต่อมามีสินค้าออกเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย และผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น
(2) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการบริการ (ธนาคารพาณิชย์ การท่องเที่ยว โรงแรม) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ขณะเดียวกันมีการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่มาใช้มากขึ้น
(3) การค้าระหว่างประเทศขยายตัวมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมากทั้งสินค้าออกและสินค้าเข้า สินค้าออกมีหลายชนิดมากขึ้นแต่เดิมเป็นผลผลิตทางการเกษตร แต่ในปัจจุบันเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ เช่น ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้า
3. ความหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development)หมายถึง กระบวนการสร้างความเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดหรือขจัดปัญหาความยากจน การว่างงาน การกระจายรายได้ พร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการของสังคมไปในทางที่ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นและต้องตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสงวนทรัพยากรไว้ตอบสนองความจำเป็นของคนรุ่นต่อไปในอนาคตของการพัฒนาที่ยั่งยืน
4.เป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมีเป้าหมายสำคัญ คือ ประชาชน ดังนี้
4.1 พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี หรือมีสวัสดิการทางเศรษฐกิจสูงขึ้น
4.2 มีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดี มีสวัสดิการทางสังคม หรือมีความปลอดภัยในสังคม
4.3 มีความพอใจและความสุขในการดำเนินชีวิต 4.4 สร้างความเป็นธรรมในสังคม
5.ความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจมีความจำเป็นสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน เพราะสาเหตุดังนี้
5.1 การเพิ่มของจำนวนประชากรซึ่งไม่สมดุลกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงจำเป็นต้องพัฒนาคนและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประชากรมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือมีสวัสดิการทางเศรษฐกิจสูงขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบาย ได้ใช้สินค้าดีราคาไม่แพง และมีบริการสนองความต้องการอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ เช่น การคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร ที่อยู่อาศัย ฯลฯ 5.2 โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีลักษณะผูกขาดโดยคนส่วนน้อย เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม และมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ รัฐสามารถช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมได้มากขึ้นอย่างมีคุณภาพ เช่น คนยากจน คนพิการ เด็กกำพร้า คนชรา คนว่างงาน และผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นต้น
5.3 ระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทยเป็นระบบเปิด คือ ต้องพึ่งทุนและการค้ากับต่างประเทศ รวมทั้งเปิดกว้างรับเทคโนโลยี การสื่อสาร วัฒนธรรม การศึกษา และการปริโภคจากโลกตะวันตกอย่างเต็มที่ ทำให้สังคมไทยต้องเร่งพัฒนาตนเองให้สามารถแข่งขันและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกได้ เพื่อมิให้ถูกเอาเปรียบ ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วส่งผลให้มีความมั่นคงทางการเมืองและการทหาร มีกองทัพที่เข้มแข็ง ทำให้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจหรืออิทธิพลของชาติมหาอำนาจ
5.4 การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง อุทกภัย วาตภัย และภัยจากธรณีพิบัติ (แผ่นดินไหวและสึนามิ) เป็นต้น รวมทั้งการเกิดโรคระบาด เช่น ไข้หวัดนก ไข้เลือดออก ฯลฯ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วส่งผลให้มีความมั่นคงทางการเมืองและการทหาร มีกองทัพที่เข้มแข็ง ทำให้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจหรืออิทธิพลของชาติมหาอำนาจ ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าจะเกิดผลดีต่อประชาชน คือ
(1) มีมาตรการป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพสามารถควบคุมวิกฤตจากภัยธรรมชาติให้บรรเทาลงได้
(2) ช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีและช่วยให้ประชาชนดำรงชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย เช่น มีงบประมาณสร้างเขื่อนประตูระบายน้ำ ศูนย์เตือนภัย และสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้ผู้ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น
5.5 ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนามีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์พื้นฐาน อันเนื่องมาจากปัญหาความยากจน ทำให้ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัย 4 ในการดำรงชีพ และไม่อาจเลือกอาชีพการงานได้ ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าส่งผลให้ประชาชนมีอาชีพและรายได้ดี มีกำลังซื้อสูง ทำให้มีอิสระในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เช่นมีอิสระในการเลือกอาชีพตามความถนัดและความสนใจ ทำให้ชีวิตมีสุข
6.ปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกิดจากความได้เปรียบในปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ
6.1 ปัจจัยทางเศรษฐกิจ มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยตรง สรุปได้ดังนี้
(1) ที่ดิน มีพื้นที่ประเทศกว้างใหญ่ มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำสายยาว หลายสายไหลผ่านพื้นที่เพาะปลูก มีทรัพยากรป่าไม้ แร่ธาตุ และมีทรัพยากรนันทนากร (แหล่งท่องเที่ยว) อย่างอุดมสมบูรณ์
(2) แรงงาน มีประชากรมีคุณภาพ มีการศึกษาดี มีระเบียบวินัย และเคารพกฎหมายของบ้านเมือง เป็นแรงงานมีฝีมือซึ่งผ่านการพัฒนาฝึกฝนทักษะเป็นอย่างดี
(3) ทุน มีเครื่องมือ เครื่องจักร และนิคมอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มีสาธารณูปโภคและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา การสื่อสารและการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น รวมทั้งมีสถาบันการเงินเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการ
(4) เทคโนโลยี มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยนำวิทยาการหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตสินค้าทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ
(5) ตลาด มีตลาดขนาดใหญ่รองรับผลผลิตอย่างกว้างขวาง ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ช่วยกระตุ้นให้การผลิตขยายตัว เกิดการจ้างงาน และเกิดธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การขนส่งสินค้า ประกันภัยสินค้า ทำป้ายโฆษณา สิ่งพิมพ์ กล่องกระดาษและบรรจุภัณฑ์
6.2 ปัจจัยทางสังคม และการเมืองการปกครอง เป็นปัจจัยสนับสนุนให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนี้
(1) สถาบันครอบครัว มีสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง มีความสามารถในการเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวและให้การศึกษาอบรมอย่างมีคุณภาพ
(2) โครงสร้างทางสังคมชนชั้นในสังคมไม่ยึดมั่นตายตัว ชนชั้นล่างหรือกลุ่มคนระดับรากหญ้าสามารถเปลี่ยนหรือเลื่อนฐานะทางสังคมได้ง่ายจากการศึกษาและอาชีพ ทำให้เกิดชนชั้นกลางใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น วิศวกร ช่างฝีมือ โปรแกรมเมอร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
(3) การเมืองการปกครอง และกฎหมายเป็นประเทศที่มีลักษณะดังนี้ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่มีปัญหาความขัดแยงทางการเมืองภายในอย่างรุนแรง และมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ มีกฎหมายส่งเสริมการลงทุน คุ้มครองแรงงาน คุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนเกษตรกรในด้านราคาผลผลิต เป็นต้น
7.เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมและมีเสถียรภาพ ส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มสูงขึ้น และท้ายที่สุดทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น โดยสามารถวัดการพัฒนาเศรษฐกิจจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความอยู่ดีกินดีของประชาชน ดังนี้
7.1ดัชนีวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแสดงถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ รายได้ประชาชาติ เป็นต้น
7.2 ดัชนีวัดความอยู่ดีกินดีของประชาชนแสดงถึงระดับความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น อัตราการอ่านออกเขียนได้ อายุเฉลี่ยของประชากร อัตราการตายของทารก อัตราส่วนของแพทย์ต่อจำนวนประชากร เป็นต้น ทั้งนี้ดัชนีชีวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นดัชนีพื้นฐานเบื้องต้นที่จะสะท้อนภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
(1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) เป็นตัวชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะแสดงถึงความสามารถในการผลิตและการบริโภคของประเทศ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ซึ่งผลิตขึ้นโดยใช้ทรัพยากรภายในประเทศในรอบระยะเวลา 1 ปี
GDP : มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยและชาวต่างชาติโดย ใช้ทรัพยากรของประเทศไทย
(2) ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product : GNP)
แสดงถึง ความสามารถในการผลิต การบริโภคของคนไทยทั้งประเทศ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ซึ่งผลิตขึ้นโดยคนไทยในประเทศและคนไทยในต่างประเทศ
GNP :GDP + รายได้สุทธิจากปัจจัยการผลิตต่างประเทศ
(3) รายได้ประชาชาติ (National Income : NI)คือ มูลค่าของรายได้ที่ประชาชน คนไทยในประเทศและคนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศได้รับในช่วงระยะเวลา 1 ปีทั้งนี้รายได้ประชาชาติคำนวณจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หักด้วยภาษีทางอ้อมและค่าเสื่อมราคา
NI : GNP – (ภาษีทางอ้อม + ค่าเสื่อมราคา)
(4) รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล (Per Capita Income)คำนวณได้จากรายได้ประชาชาติ
หารด้วยจำนวนประชากร ซึ่งใช้เป็นดัชนีสำหรับเปรียบเทียบระดับความอยู่ดีกินดีของประชาชนของประเทศต่าง ๆ
การวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของการวัดการพัฒนาเศรษฐกิจดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีแนวคิดการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness : GNH) ขึ้น เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมามุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว จนละเลยความสุขซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ยังไม่มีดัชนีวัดความสุขมวลรวมประชาชาติที่แน่นอนหรือชัดเจนในขณะนี้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความสำคัญกับความสุขของประชาชนมากกว่าการมุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเทศที่เป็นผู้นำเสนอแนวคิดการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness : GNH) ขึ้นคือ ประเทศภูฏาน โดยมีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ
1) การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
2) การอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรม
3) การรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
4) การมีธรรมาภิบาล
8. ความหมายและความเป็นมาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
8.1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคือ การกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ
8.2 ความเป็นมาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเทศไทยได้มีการริเริ่มจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของชาติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ โดยในปี พ.ศ. 2504 ได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกขึ้น ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 มีระยะเวลาของแผน 6 ปี โดยที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับต่อ ๆ มา มีระยะเวลาของแผน 5 ปี หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำแผน คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ซึ่งสาระสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแต่ละฉบับมีดังต่อไปนี้
9.แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ผ่านมา
9.1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่1 (พ.ศ. 2504-2509)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ ทางหลวงแผนดิน ทางรถไฟ ประปา ไฟฟ้า และ เขื่อนชลประทาน เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนอุบลรัตน์
(2) ส่งเสริมการลงทุนของเอกชนในภาคอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการนำเข้า
(3) จัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯเศรษฐกิจขยายตัวสูง มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น แต่เกิดปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม เพราะผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเป็นคนส่วนน้อยที่อยู่ในเมืองและเป็นผู้มีโอกาสทางเศรษฐกิจ
9.2 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2510-2514)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ คล้ายแผนฯฉบับที่ 1
(2) สนับสนุนการลงทุนของชาวต่างชาติ และพัฒนาการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม
และอุตสาหกรรม
(3) มุ่งพัฒนากำลังคนเพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ โดยกระจายการศึกษาและการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานให้ทั่วถึง และเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาชนบทและทรัพยากรธรรมชาติ
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯการกระจายรายได้ยังกระจุกตัวอยู่กับคนส่วนน้อย
9.3แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515-2519)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นการพัฒนาสังคมมากขึ้น ทั้งการศึกษา การอนามัยและสาธารณสุข
(2) กำหนดเป้าหมายลดอัตราการเพิ่มของประชากรเป็นครั้งแรก ให้เหลือร้อยละ 2.5 ต่อปี เมื่อสิ้นแผนฯ
(3) กระจายความเจริญสู่ชนบทให้มากขึ้น และเน้นการกระจายรายได้ให้เป็นธรรม
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯเกิดปัญหาอุปสรรคในเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ (ฝนทิ้งช่วง)
การขึ้นราคาน้ำมันครั้งใหญ่ และความผันผวนทางการเมือง โดยเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศซบเซาและมีการว่างงานสูง
9.4แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 โดยพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงาน
(2) ปรับปรุงสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
(3) เน้นสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยเน้นการกระจายรายได้ให้ทั่วถึง
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯการพัฒนาทั้งภาคอุตสาหกรรม การค้า และการบริการ ขยายตัวตามเป้า การขึ้นราคาน้ำมันของกลุ่มโอเปค(OPEC) ทำให้สินค้ามีราคาแพงและเกิดเงินเฟ้อ รายจ่ายภาครัฐเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้า
9.5 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นการพัฒนาชนบท เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน โดยขยายบริการพื้นฐานของรัฐไปสู่ชนบทให้มากขึ้น เช่น การสาธารณสุข การสาธารณูปโภค ฯลฯ แก้ไขปัญหาการว่างงาน และเร่งการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
(2) ฟื้นฟูฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ลดการขาดดุลการค้า เร่งระดมเงินออม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และกระจายอุตสาหกรรมไปยังส่วนภูมิภาค
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯสรุปได้ดังนี้
(1) การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด เนื่องมาจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก การแข่งขันและการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ
(2)เกิดปัญหาขาดเสถียรภาพทางการเงิน เพราะการใช้จ่ายเกินตัวทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน และขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง
(3)ความเสื่อมโทรมในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9.6 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ลดหนี้สินต่างประเทศ ปรับปรุงระบบการผลิตและการตลาด เพื่อให้การส่งออกสินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมควบคู่กันไป
(2) เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม การจ้างงาน และกระจายรายได้ แก้ไขปัญหาความยากจน
(3) เน้นพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพการบริหารในภาครัฐ เพื่อเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯสรุปได้ดังนี้
(1) ฐานะทางการเงินและการคลังของประเทศมีเสถียรภาพ คนไทยมีรายได้และการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น ภาระหนี้สินของประเทศลดลง ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น
(2) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่าเป้าหมาย ทั้งนี้เป็นผลจากการส่งออก การลงทุน และรายได้จากการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจไทยเปิดกว้างสู่ระบบเศรษฐกิจสากลมากขึ้น
(3) ผลกระทบ คือ ความเสื่อมโทรมในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ระหว่างคนเมืองและคนในชนบทมีมากขึ้น
9.7 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นการพัฒนาแบบยั่งยืน และสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจควบคู่กับสังคม
(2) เน้นรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ โดยพัฒนาการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการส่งออก
(3) เน้นการกระจายรายได้และพัฒนาไปสู่ภูมิภาคและชนบท
(4) เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม
(5) เน้นพัฒนากฎหมาย รัฐวิสาหกิจ และระบบราชการ ให้มีคุณภาพและสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯสรุปได้ดังนี้
(1) การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปตามเป้าหมาย รายได้ประชาชาติและรายได้เฉลี่ยของประชากรเพิ่มสูงขึ้น
(2) การแก้ปัญหาความยากจนและกระจายรายได้ยังไม่ได้ผล ช่องว่าในรายได้ระหว่างคนเมืองกับคนในชนบทยิ่งห่างกันมากขึ้น
(3) ความเสื่อโทรมในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น การสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ และปัญหามลพิษของสิ่งแวดล้อมขยายตัวอย่างรวดเร็ว
9.8 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544)สาระสำคัญ มีดังนี้
(1) เน้นพัฒนาคน หรือเน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพความสามารถในด้านต่าง ๆ
(2) เน้นการพัฒนาที่ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเกิดต่อการพัฒนาคน
ผลที่ได้รับเมื่อสิ้นแผนฯในช่วงปลายปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เกิดการว่างงาน ธุรกิจล้มละลาย และปัญหาหนี้สินจากต่างประเทศ จนนำไปสู่การขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จากวิกฤติการณ์ครั้งนี้จึงได้ปรับวัตถุประสงค์และแนวทางการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น
9.9 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) สาระสำคัญ มีดังนี้
(1.)ได้อัญเชิญ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางในการพัฒนาและบริหารประเทศ โดยยึดทางสายกลาง ความพอประมาณ และความมีเหตุผล เพื่อให้ประเทศรอดพ้นวิกฤติและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
(2.) ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ทั้งภาคการเงินและการคลัง ให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งตนเองได้
(3.) วางรากฐานการพัฒนาประเทศให้เข้มแข็ง ยั่งยืน สามารถพึ่งตนเองได้ และรู้เท่ากันโลก โดยพัฒนาคุณภาพคน ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสุขภาพ สร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชน มีการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(4.) แก้ไขปัญหาความยากจน โดยเพิ่มศักยภาพและโอกาสของคนไทยในการพึ่งพาตนเอง ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ การมีรายได้ และยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
9.10 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)มีสาระสำคัญ คือ
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางปฏิบัติ ควบคู่กับแนวคิดที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และ เป็นธรรม โดยกำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศให้มุ่งสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน”
9.11 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559)มีสาระสำคัญ คือ
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11เน้นการพัฒนาให้เกิด “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอภาคเป็นธรรมและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง” ดังนี้
(1.) เร่งสร้างความสงบสุขให้สังคมโดยร่วมมือกันสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ
สุขส่งเสริมการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นหลักปฏิบัติร่วมกันทั้งสังคมพร้อมทั้งเสริมสร้างภาคราชการการเมืองและประชาสังคมให้เข้มแข็งภายใต้หลักประชาธิปไตยที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นที่เชื่อมั่นและไว้วางใจของประชาชน
(2.) มุ่งพัฒนาคนให้มีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มั่นคงและ
สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆในโลกได้อย่างต่อเนื่องพัฒนาความสามารถสติปัญญาและจิตใจให้พร้อมสำหรับการพัฒนาประเทศสู่สังคมฐานความรู้
(3.) เพิ่มชนชั้นกลางให้กระจายทุกพื้นที่ของประเทศเพราะชนชั้นกลางเป็นกำลัง
สำคัญในการประสานประโยชน์และพัฒนาประเทศที่มีความสมดุลพร้อมทั้งส่งเสริมให้ทุกชนชั้นรู้จักหน้าที่ของตนเองและร่วมกันพัฒนาสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าและน่าอยู่
(4.) พัฒนาภาคเกษตรให้คงอยู่กับสังคมไทยและผลิตอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน
เร่งพัฒนาความสามารถของเกษตรกรในการผลิตพืชอาหารที่มีคุณภาพในปริมาณมากพอที่จะเลี้ยงดูคนในประเทศและส่งเป็นสินค้าออกสนองความต้องการของประเทศต่างๆสามารถเป็นผู้นำการผลิตและการค้าในเวทีโลกรวมทั้งรักษาความโดดเด่นของอาหารไทยที่ต่างประเทศชื่นชอบ
(5.) ปรับปรุงการบริหารจัดการภาครัฐให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต
เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
10. ความหมายและความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)
หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยยึดหลักความพอดี พอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย โดยมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ที่ประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม ซึ่งมักจะประสบปัญหาความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ ฝนตกไม่สม่ำเสมอ เกิดภาวะแห้งแล้งทั่วไป ทำให้การทำเกษตรกรรมไม่ได้ผลผลิตดีเท่าที่ควร พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และยกระดับพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรในภาคเกษตรกรรมให้เกิดความพออยู่พอกินและสามารถพึ่งพาตนเองได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชวินิจฉัย ค้นคว้า สำรวจ รวบรวมข้อมูล แล้วทำการทดสอบเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำ ที่ดิน พันธุ์พืช เพื่อให้เกษตรกรสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในพื้นที่ของตนเอง โดยตั้งเป็น “ทฤษฎีใหม่” ใช้หลักการบริหารจัดการที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง โดยการผสมผสานกิจกรรมพืช สัตว์ และประมง ให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน โดยทำการเกษตรในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดความ “พออยู่พอกิน” พระองค์จึงนำทฤษฎีดังกล่าวไปทดลองที่วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลห้วยบง และตำบลเขาดินพัฒนา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2540 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ผู้ประกอบการหลายแห่งได้ปิดกิจการลง ทำให้ประชาชนตกงานเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระราชทานพระราชดำริ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางใหม่ที่จะช่วยแก้ไขปัญหา โดยนำหลักการและวิธีการที่ใช้ในภาคเกษตรกรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการและดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยให้รู้จักการดำเนินชีวิตอยู่อย่างพอประมาณ เดินทางสายกลาง มีความพอดี และพอเพียงกับตนเอง ดำรงชีวิตแบบพออยู่พอกินและสามารถพึ่งตนเองได้
หลักการเศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐาน
ของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบและคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ โดยมีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้
1. กรอบแนวคิดเป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากและวิกฤต เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา
2.คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
3.คำนิยามความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย3 คุณลักษณะพร้อม ๆ กัน ดังนี้
3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
3.2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
3.3 การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
4. เงื่อนไขการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
4.1 เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
4.2 เงื่อนไขคุณธรรมที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื้อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่โลภและไม่ตระหนี่
5. แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา
ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต้องการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพราะจะทำให้เกิดผลดีต่อประชาชน ชุมชน และสังคมประเทศชาติ ดังนี้
1. ความสำคัญของครอบครัวสมาชิกในครอบครัวดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เพราะปฏิบัติตามหลักพออยู่พอกิน พอใช้ ส่งผลให้ไม่ยากจน ไม่มีหนี้สิน มีเงินออม และพึ่งตนเองได้
2. ความสำคัญต่อชุมชนมีการรวมกลุ่มสร้างงานและอาชีพและนำทรัพยากรของชุมชนมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ สมาชิกในชุมชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
3. ความสำคัญต่อสังคมประเทศชาติทำให้สังคมเข้มแข็ง ผู้คนมีอาชีพที่และรายได้ที่มั่นคง สมาชิกในสังคมร่วมกันสืบทอดภูมิปัญญาและพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
กับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถประยุกต์ใช้ได้ทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการปฏิบัติอย่างพอเพียง มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม
1. การประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาคเกษตรกรรม
เมื่อปี พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกษตรกรนำไปปฏิบัติเพื่อยกฐานะและชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เรียกว่า การเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือ ทฤษฎีใหม่ ซึ่งมีหลักปฏิบัติ 3 ขั้น ดังนี้
ขั้นที่ 1 ผลิตอาหารเพื่อบริโภค
แนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่ เน้นให้เกษตรกรสร้างความมั่นคงทางอาหารแก่ครอบครัวตนเองก่อน โดยทำนาข้าวเพื่อเก็บไว้กินตลอดปี เหลือจากการบริโภคจึงขาย
โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองทฤษฎีใหม่ในที่ดินส่วนพระองค์ ณ วัดมงคลชัยพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี จำนวน 15 ไร่ โดยแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วนตามอัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10
เน้นการบริหารจัดการที่ดินและน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการเกษตรทฤษฎีใหม่ ดังนี้
ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ขุดสระน้ำไว้ใช้สอยและเลี้ยงปลา
ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ทำนาข้าว
ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ปลูกไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชสวนครัว
ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ปลูกบ้าน โรงนาเก็บอุปกรณ์ โรงเลี้ยงสัตว์
ขั้นที่ 2 รวมตัวจัดตั้งกลุ่ม ชมรมหรือสหกรณ์
เกษตรกรจะพัฒนาไปสู่ระดับพออยู่พอกินพอใช้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น มีรายได้จากผลผลิตเพิ่มมากขึ้น โดยร่วมมือจัดตั้งเป็นกลุ่ม ชมรม หรือ สหกรณ์ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกัน ดังนี้
(1) ด้านการผลิต มีการรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้าน ชมรม หรือสหกรณ์ ผลิตสินค้าหรือบริการของชุมชนเพื่อหารายได้ช่วยเหลือครอบครัวอีกทางหนึ่ง เช่น งานหัตถกรรม
(2) ด้านการตลาด ร่วมกันสร้างอำนาจต่อรองในการจำหน่ายผลผลิตให้ได้ราคาดี
ไม่พึ่งพ่อค้าคนกลาง
(3) ด้านสวัสดิการและชีวิตความเป็นอยู่ มีการจัดตั้งกองทุนให้สมาชิกกู้เงินยามฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือประสบภัยธรรมชาติต่าง ๆ
ขั้นที่ 3 ร่วมมือกับองค์กรหรือภาคเอกชนภายนอกชุมชน
เป็นขั้นพัฒนากลุ่ม ชมรม หรือสหกรณ์ให้ก้าวหน้า โดยกู้เงินจากแหล่งเงินทุนภายนอกชุมชนมาลงทุนขยายกิจการ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) บริษัทน้ำมัน ฯลฯ หรือขอความช่วยเหลือด้านวิชาการจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
เป้าหมายของขั้นที่ 3 คือ พัฒนากิจการสหกรณ์ จัดตั้งและบริหารโรงสีข้าวของชุมชน ปั๊มน้ำมันของชุมชนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น พัฒนาคุณภาพของเกษตรกรให้อยู่ดีกินดี จำหน่ายผลผลิตได้ราคาสูง ไม่ถูกกดราคา ซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ในราคาถูก เป็นต้น
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้นำไปปฏิบัติ ดังนี้
(1) การพึ่งตนเองทฤษฎีใหม่เน้นให้เกษตรกรผลิตพืชผลข้าวปลาอาหารให้มีเพียงพอสำหรับใช้บริโภค ภายในครอบครัวก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำไปขายในตลาดเป็นรายได้ของครอบครัว เกษตรกรรู้จักพึ่งตนเองและเลี้ยงครอบครัวได้ มีอาหารกินตลอดปี และไม่มีภาระหนี้สิน
(2) ชุมชนเข้มแข็งทฤษฎีใหม่เน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อร่วมมือกันทำงานเพื่อเพิ่มพูนรายได้ เช่น แปรรูปผลผลิตเป็นอาหารสำเร็จรูป การทำสินค้าหัตถศิลป์ ฯลฯ ช่วยให้ครอบครัวเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นผลให้เศรษฐกิจของชุมชนเข้มแข็งตามมา
(3) ความสามัคคีทฤษฎีใหม่เน้นความสามัคคีในหมู่คณะ สนับสนุนให้เกษตรกรในท้องถิ่นช่วยเหลือและร่วมมือซึ่งกันและกัน ทั้งในด้านอาชีพ ถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาความเจริญให้ท้องถิ่นในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สืบสานภูมิปัญญา และวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น เป็นต้น
2. การประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาคอุตสาหกรรมการค้า และ
การบริการ
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจเอกชน ทั้ง ภาคอุตสาหกรรม การค้า และการบริการ ดังนี้
1) ความพอประมาณผู้ประกอบการควรยึดแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
(1) พอประมาณในการผลิต ไม่ผลิตสินค้ามากเกินความต้องการของผู้บริโภคจนเหลือล้นตลาด ถือเป็นการช่วยประหยัดพลังงาน และทรัพยากรในการผลิต
(2) พอประมาณในผลกำไร ไม่ค้ากำไรเกินควรจนผู้บริโภคเดือดร้อน ไม่กดราคารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร มีการแบ่งปันผลกำไรส่วนหนึ่งไปพัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงานและองค์กรของตน รวมทั้งคืนกำไรสู่สังคม โดยตอบแทนช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่าง ๆ
2) ความมีเหตุผลแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
(1) มีเหตุผลในการพัฒนาองค์กร โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในองค์กร ทั้งพนักงาน ลูกจ้าง และผู้ใช้แรงงาน ตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งพัฒนาคุณภาพสินค้า และเพิ่มปริมาณผลผลิต เป็นต้น
(2) มีเหตุผลในการจัดสวัสดิการให้พนักงาน ลูกจ้าง และผู้ใช้แรงงานอย่า
3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดีผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญและนำไปปฏิบัติ ดังนี้
(1) ติดตามข่าวสาร และสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของตน เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง และความเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศและภัยธรรมชาติ เป็นต้น เพื่อให้สามารถตัดสินใจบริหารองค์กรธุรกิจของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด
(2) การกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อดำเนินธุรกิจหรือขยายกิจการ ต้องดูตามกำลัง ฐานะของตน ไม่ทำ อะไรเกินตัว มิฉะนั้นอาจเกิดความเสียหายได้
(3) มีเงินออมหรือเงินเก็บเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กซึ่งต้องพึ่งตนเองให้มากที่สุด ควรจัดสรรผลกำไรส่วนหนึ่งเป็นเงินออมเพื่อให้มีใช้จ่ายเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
4) เงื่อนไขความรู้คู่คุณธรรมมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
(1) ดำเนินธุรกิจภายใต้คุณธรรม เช่น ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค รักการให้บริการแก่ลูกค้า และเอาใจใส่พนักงาน โดยจัดอบรมด้านคุณธรรมเป็นระยะ ๆ
(2) มีความรับผิดชอบต่อสังคมและเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้เกิดปัญหามลพิษในแหล่งน้ำ ดิน อากาศ ฯลฯ และมีส่วนร่วมกับชุมชนในการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น สนับสนุนกิจกรรมลดภาวะโลกร้อนกับโรงเรียนในชุมชน
3. การประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับนักเรียนและประชาชนทั่วไป
นักเรียนและประชาชนทั่วไปควรยึดหลักปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว ดังนี้
(1) พึ่งตนเองมีจิตสำนึกที่ดีในการใช้จ่ายเงิน รู้จักประหยัด ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อหรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่หลงใหลกับวัฒนธรรมบริโภคนิยมทางวัตถุ และมีวินัยในการ ออมเงิน เป็นต้น
(2) ขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพสุจริตเพื่อเพิ่มพูนรายได้ให้ตนเองและครอบครัว หรือรู้จักหารายได้ระหว่างเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง
(3) ใฝ่ศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อพัฒนาทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและเพียงพอต่อการดำรงชีพ
hhhjๅพภพqnhGvdeV0jA3เเเ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น